วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การล่มสลายของสถาบันฯ4

การล่มสลายของสถาบันฯ

นอกจากนี้แล้วสิงคโปร์ยังแสวงหาประโยชน์จากการเป็นพ่อค้าคนกลางในการจำหน่ายผลิตผลการเกษตร

ไม่ว่าจะเป็นข้าว น้ำตาลและยางพารา โดยอาศัยกลไกการควบคุมตลาด คุมขนส่งและการเงินการธนาคาร สร้างความร่ำรวยจนกระทั่งสามารถเข้ามายึดครองธุรกิจธนาคารและธุรกิจสำคัญถึงในประเทศไทย การที่สิงคโปรสามารถใช้ประเทศไทยเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการเป็นเมืองขึ้นของประเทศสิงคโปร์นั้น ก็สืบเนื่องจากผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินรู้เห็นเป็นใจ ทำตัวเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่เอื้อประโยชน์ให้กับประเทศสิงคโปร์โดยไม่สนใจประชาชนและพี่น้องเกษตรกรว่าจะยากจนเพราะถูกกดขี่อย่างไร

ดังนั้นการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแก้ไขปัญหายางพาราด้วยวิธีการตัดพ่อค้าคนกลางอย่างประเทศสิงคโปร์ แม้จะประสพความสำเร็จที่ทำให้ราคายางพาราสูงขึ้น เป็นที่ชื่นชอบของชาวสวนยาง แต่ในทางกลับกันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ส่งผลให้คุณทักษิณต้องตกที่นั่งลำบากอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ (กิจการธนาคาร และธุรกิจสำคัญของไทยที่ประเทศสิงคโปร์ยึดครองล้วนแล้วแต่มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือครองหุ้นอยู่ด้วยทั้งนั้นครับ)


นี่ผมยังไม่ได้กล่าวถึงการเจอบ่อแก๊สที่ขุดพบในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ

ที่
มีการทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซีย(เพราะจุดค้นพบอยู่ระหว่างกึ่งกลางของสองประเทศ) ว่าจะมีการผลัดกันขุดเจาะแก๊สขึ้นมาใช้ประโยชน์ มีกำหนดคนละสามปี จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ขุดเจาะแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่สามารถวางท่อแก๊สได้ ผมอยากให้มีการตรวจสอบกันอย่างจริงจังว่า แท้จริงแล้วคนที่เป็นใหญ่และมีอำนาจในแผ่นดินไทยได้แอบไปมีผลประโยชน์ร่วมกับประเทศมาเลเซียเหมือนกับการเข้าไปมีส่วนแบ่งรายได้จากประเทศสิงคโปร์ที่รัฐบาลเขาจัดสรรให้

โดยที่พี่น้องประชาชนคนไทยเป็นผู้สูญเสียเหมือนเดิมหรือไม่

ผมขอย้อนกลับมาพูดถึง Litchfield Whiting Bourie and Associate ที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์จ้างมาเพื่อให้วางผังเมือง ตามคำแนะนำของประเทศอเมริกาโดยมีการกำหนดแผนพัฒนาฯให้รัฐบาลไทยดำเนินตามขั้นตอนที่วางไว้ ผมเชื่อเหลือเกินครับว่าอเมริกาเองคงนึกไม่ถึงและไม่รู้ครับว่า กรุงเทพมหานครนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบ ครองโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินตามแผนพัฒนาได้ และก่อนที่ผมจะเขียนรายงานท่านผู้อ่านเกี่ยวกับอุปสรรคอันมีที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องขัดขวางการพัฒนานั้น

ผมมีความจำเป็นที่ต้องเชิญชวนท่านผู้อ่านเดินย้อนรอยอดีตเพื่อให้เห็นเป็นภาพชัดเจนดังนี้


สมัยที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ครอบครองพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ การคมนาคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งจะอาศัยเส้นทางแม่น้ำเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นพื้นที่เรียบแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งจึงได้ถูกกำหนดชัดเจนว่าเป็นที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์ ผมจะขอกล่าวถึงในบางส่วนที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร โดยจะเริ่มตั้งแต่พื้นที่บริเวณคลองเตย ไล่มายันท่าน้ำราชวงค์ จนไปถึงปากคลองตลาดและเลยไปสิ้นสุดแค่ท่าเตียน นี่ยังไม่รวมพื้นที่ๆเป็นทำเลทองอย่างเช่น ถนนทรงวาด สำเพ็ง ราชวงค์และคลองถม ที่ไกลออกไปก็มีราชดำริ บริเวณสวนลุมฯลฯ จนนับไม่ไหวจำได้ไม่หมด

ที่บริเวณดังที่ผมกล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีความผูกพันกับการเช่าเป็นที่ทำกินกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนานจนกระทั่งแม้ทุกวันนี้เป็นเวลาหลายชั่วอายุคนและส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวจีนที่ยึดอาชีพการค้าการขาย ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ถ้าสำนักงานทรัพย์สินต้องการขึ้นค่าเช่าหรือให้บริจาคเพื่อสนับสนุนโครงการอันเกิดจากกระแสพระราชดำริ และแม้กระทั่งการโค่นล้มคุณทักษิณ


นายสนธิ ลิ้มทองกุลก็ยังนำมาเป็นช่องทางการต่อสู้ด้วยการประกาศ
“ลูกจีนกู้ชาติ” ได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพสูงยิ่งอีกด้วย

ผมจำได้ว่าภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วท่านปรีดีได้เขียนร่างเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ เนื้อหาสำคัญเรื่องหนึ่งที่ทำให้ท่านปรีดีต้องระเห็ดไปตั้งหลักอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส นั่นก็คือกฏหมายครอบครองที่ดินทำกินให้มีได้ครอบครัวหนึ่งไม่เกิน ๕๐ ไร่ ครั้นมาถึงยุคจอมพลถนอม เป็นหัวหน้ารัฐบาล ผมก็มีความเชื่อเหลือเกินครับว่ารัฐบาลจอมพลถนอมมีอันจะต้องเป็นไปนั้น

ก็มีเรื่องเกี่ยวกับนโยบายที่จะสร้างถนนเลียบฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยเหตุผลเท่าที่ผมจำได้ก็คือ

๑. ป้องกันไม่ให้ผู้คนนำขยะและสิ่งปฏิกูลไปทิ้งลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา

๒. ป้องกันน้ำท่วม

๓. ช่วยบรรเทาการจารจรที่คับคั่งขึ้นทุกวัน

เมื่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ครอบครอบที่ดินอยู่ครึ่งค่อนเมือง การที่จะจ้างใครมาวางผังเมือง แล้วไม่สามารถเวณคืนที่ดินในส่วนที่สำนักงานทรัพย์สินฯถือครอง ก็ป่วยการละครับที่จะมาพูดถึงการวางผังเมืองให้เสียเวลา ผมถึงได้บอกไงครับว่า

สถาบันพระมหากษัตริย์นี่แหละครับที่เป็นเครื่องถ่วงความเจริญ

ที่ทำให้ประเทศชาติไม่อาจพัฒนาได้ การที่รถติดและน้ำท่วมที่เป็นปัญหาเรื้อรังจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ภูมิพลไม่อาจนำมาเป็นเหตุผลในการโฆษณาได้อีกต่อไปนะครับว่าเป็นห่วงประชาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการหนีบแผนที่ออกมากำกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้ได้เห็นในแต่ละปีนั้น คงจะขายไม่ได้อีกต่อไป เพราะคนไทยทั้งแผ่นดินบัดนี้ได้รู้เช่นเห็นชาติกับสถาบันฯอันจอมปลอมอย่างหมดเปลือกแล้วครับ



วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

อาคม ซิดนี่ย์

arkomsydney@yahoo.com.au
Copyright © 2009 arkomsydney
ติดตามบทความย้อนหลังและรับฟังรายการ ชกหมัดตรงได้ที่ www.arkomsydney.com


อ่านแล้วกรุณาส่งต่อ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น