วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การล่มสลายของสถาบันฯ4

การล่มสลายของสถาบันฯ

นอกจากนี้แล้วสิงคโปร์ยังแสวงหาประโยชน์จากการเป็นพ่อค้าคนกลางในการจำหน่ายผลิตผลการเกษตร

ไม่ว่าจะเป็นข้าว น้ำตาลและยางพารา โดยอาศัยกลไกการควบคุมตลาด คุมขนส่งและการเงินการธนาคาร สร้างความร่ำรวยจนกระทั่งสามารถเข้ามายึดครองธุรกิจธนาคารและธุรกิจสำคัญถึงในประเทศไทย การที่สิงคโปรสามารถใช้ประเทศไทยเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการเป็นเมืองขึ้นของประเทศสิงคโปร์นั้น ก็สืบเนื่องจากผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินรู้เห็นเป็นใจ ทำตัวเป็นหุ้นส่วนใหญ่ที่เอื้อประโยชน์ให้กับประเทศสิงคโปร์โดยไม่สนใจประชาชนและพี่น้องเกษตรกรว่าจะยากจนเพราะถูกกดขี่อย่างไร

ดังนั้นการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแก้ไขปัญหายางพาราด้วยวิธีการตัดพ่อค้าคนกลางอย่างประเทศสิงคโปร์ แม้จะประสพความสำเร็จที่ทำให้ราคายางพาราสูงขึ้น เป็นที่ชื่นชอบของชาวสวนยาง แต่ในทางกลับกันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ส่งผลให้คุณทักษิณต้องตกที่นั่งลำบากอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ (กิจการธนาคาร และธุรกิจสำคัญของไทยที่ประเทศสิงคโปร์ยึดครองล้วนแล้วแต่มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ถือครองหุ้นอยู่ด้วยทั้งนั้นครับ)


นี่ผมยังไม่ได้กล่าวถึงการเจอบ่อแก๊สที่ขุดพบในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ

ที่
มีการทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซีย(เพราะจุดค้นพบอยู่ระหว่างกึ่งกลางของสองประเทศ) ว่าจะมีการผลัดกันขุดเจาะแก๊สขึ้นมาใช้ประโยชน์ มีกำหนดคนละสามปี จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ ๒๐ ปี โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้ขุดเจาะแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่สามารถวางท่อแก๊สได้ ผมอยากให้มีการตรวจสอบกันอย่างจริงจังว่า แท้จริงแล้วคนที่เป็นใหญ่และมีอำนาจในแผ่นดินไทยได้แอบไปมีผลประโยชน์ร่วมกับประเทศมาเลเซียเหมือนกับการเข้าไปมีส่วนแบ่งรายได้จากประเทศสิงคโปร์ที่รัฐบาลเขาจัดสรรให้

โดยที่พี่น้องประชาชนคนไทยเป็นผู้สูญเสียเหมือนเดิมหรือไม่

ผมขอย้อนกลับมาพูดถึง Litchfield Whiting Bourie and Associate ที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์จ้างมาเพื่อให้วางผังเมือง ตามคำแนะนำของประเทศอเมริกาโดยมีการกำหนดแผนพัฒนาฯให้รัฐบาลไทยดำเนินตามขั้นตอนที่วางไว้ ผมเชื่อเหลือเกินครับว่าอเมริกาเองคงนึกไม่ถึงและไม่รู้ครับว่า กรุงเทพมหานครนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกครอบ ครองโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินตามแผนพัฒนาได้ และก่อนที่ผมจะเขียนรายงานท่านผู้อ่านเกี่ยวกับอุปสรรคอันมีที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องขัดขวางการพัฒนานั้น

ผมมีความจำเป็นที่ต้องเชิญชวนท่านผู้อ่านเดินย้อนรอยอดีตเพื่อให้เห็นเป็นภาพชัดเจนดังนี้


สมัยที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ครอบครองพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ การคมนาคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนส่งจะอาศัยเส้นทางแม่น้ำเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นพื้นที่เรียบแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งจึงได้ถูกกำหนดชัดเจนว่าเป็นที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์ ผมจะขอกล่าวถึงในบางส่วนที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวกรุงเทพมหานคร โดยจะเริ่มตั้งแต่พื้นที่บริเวณคลองเตย ไล่มายันท่าน้ำราชวงค์ จนไปถึงปากคลองตลาดและเลยไปสิ้นสุดแค่ท่าเตียน นี่ยังไม่รวมพื้นที่ๆเป็นทำเลทองอย่างเช่น ถนนทรงวาด สำเพ็ง ราชวงค์และคลองถม ที่ไกลออกไปก็มีราชดำริ บริเวณสวนลุมฯลฯ จนนับไม่ไหวจำได้ไม่หมด

ที่บริเวณดังที่ผมกล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีความผูกพันกับการเช่าเป็นที่ทำกินกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนานจนกระทั่งแม้ทุกวันนี้เป็นเวลาหลายชั่วอายุคนและส่วนใหญ่ก็จะเป็นชาวจีนที่ยึดอาชีพการค้าการขาย ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ ถ้าสำนักงานทรัพย์สินต้องการขึ้นค่าเช่าหรือให้บริจาคเพื่อสนับสนุนโครงการอันเกิดจากกระแสพระราชดำริ และแม้กระทั่งการโค่นล้มคุณทักษิณ


นายสนธิ ลิ้มทองกุลก็ยังนำมาเป็นช่องทางการต่อสู้ด้วยการประกาศ
“ลูกจีนกู้ชาติ” ได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพสูงยิ่งอีกด้วย

ผมจำได้ว่าภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วท่านปรีดีได้เขียนร่างเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ เนื้อหาสำคัญเรื่องหนึ่งที่ทำให้ท่านปรีดีต้องระเห็ดไปตั้งหลักอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส นั่นก็คือกฏหมายครอบครองที่ดินทำกินให้มีได้ครอบครัวหนึ่งไม่เกิน ๕๐ ไร่ ครั้นมาถึงยุคจอมพลถนอม เป็นหัวหน้ารัฐบาล ผมก็มีความเชื่อเหลือเกินครับว่ารัฐบาลจอมพลถนอมมีอันจะต้องเป็นไปนั้น

ก็มีเรื่องเกี่ยวกับนโยบายที่จะสร้างถนนเลียบฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยเหตุผลเท่าที่ผมจำได้ก็คือ

๑. ป้องกันไม่ให้ผู้คนนำขยะและสิ่งปฏิกูลไปทิ้งลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา

๒. ป้องกันน้ำท่วม

๓. ช่วยบรรเทาการจารจรที่คับคั่งขึ้นทุกวัน

เมื่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ครอบครอบที่ดินอยู่ครึ่งค่อนเมือง การที่จะจ้างใครมาวางผังเมือง แล้วไม่สามารถเวณคืนที่ดินในส่วนที่สำนักงานทรัพย์สินฯถือครอง ก็ป่วยการละครับที่จะมาพูดถึงการวางผังเมืองให้เสียเวลา ผมถึงได้บอกไงครับว่า

สถาบันพระมหากษัตริย์นี่แหละครับที่เป็นเครื่องถ่วงความเจริญ

ที่ทำให้ประเทศชาติไม่อาจพัฒนาได้ การที่รถติดและน้ำท่วมที่เป็นปัญหาเรื้อรังจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ภูมิพลไม่อาจนำมาเป็นเหตุผลในการโฆษณาได้อีกต่อไปนะครับว่าเป็นห่วงประชาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการหนีบแผนที่ออกมากำกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้ได้เห็นในแต่ละปีนั้น คงจะขายไม่ได้อีกต่อไป เพราะคนไทยทั้งแผ่นดินบัดนี้ได้รู้เช่นเห็นชาติกับสถาบันฯอันจอมปลอมอย่างหมดเปลือกแล้วครับ



วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

อาคม ซิดนี่ย์

arkomsydney@yahoo.com.au
Copyright © 2009 arkomsydney
ติดตามบทความย้อนหลังและรับฟังรายการ ชกหมัดตรงได้ที่ www.arkomsydney.com


อ่านแล้วกรุณาส่งต่อ



วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การล่มสลายของสถาบันฯ3

การล่มสลายของสถาบันฯ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโกงกินหรือรับสินบนจากประเทศสิงคโปร์

เพื่อให้โครงการก่อสร้างสนามบินแห่งนี้เกิดความล่าช้า แต่ผมเชื่อนะครับว่าปัญหาการโกงกินเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสนามบินแห่งนี้นั้น มันมีแน่ครับในทุกรัฐบาลดังที่ได้กล่าวมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา แต่ว่าอิทธิพลให้เกิดความล่าช้านั้น ประเทศสิงคโปรคงไม่โง่พอที่จะให้สินบนกับรัฐบาลร่างทรงที่มาแล้วก็ไปอย่างแน่นอน เพราะสิงคโปร์ย่อมรู้อยู่เต็มอกว่าใครคือผู้มีอำนาจตัวจริงในประเทศไทย

เมื่อพูดถึงการรับสินบนจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นสินบนระดับชาติ ผมคงต้องพูดถึงในเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในยุคที่เปรมกุมอำนาจและใหญ่คับฟ้าอยู่ในเวลานั้น นั่นก็คือเหตุการณ์เผาโรงงานถลุงแร่แทนทาลั่ม ซึ่งในเวลานั้นเปรมดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นอันสืบเนื่องจากมีนักวิชาการให้คำแนะนำว่า ประเทศไทยสมควรที่จะมีโรงงานถลุงแร่แทนทาลั่มเอง เนื่องจากประเทศไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีแร่ชนิดนี้มากมายมหาศาลแต่กลับไม่มีโรงงานถลุง

ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ต้องอาศัยวัตถุดิบจากประเทศไทย แต่กลับมีโรงงานถลุงแร่ถึง ๑๗ แห่ง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการก่อสร้างโรงงานถลุงแร่ขึ้นที่ ต.รัษฏา อ.เมือง จ.ภูเก็ต โดยบริษัท ชิโน-ไทย เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงานแห่งนี้ และเมื่อโรงงานใกล้เสร็จก็มีการปล่อยข่าวว่าการถลุงแร่แทนทาลั่มจะเกิดมลภาวะร้ายแรงและส่งผลให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เท่านั้นเองครับรวดเร็วทันใจเป็นอย่างยิ่งได้เกิดกระแสต่อต้านและมีการวมตัวกัน แล้วลุกลามเป็นการชุมนุมประท้วง ในที่สุดรัฐบาลได้ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีชื่อว่า ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ.อยุธยา เดินทางไปรับฟังความคิดเห็น

ท่านผู้อ่านครับรัฐบาลปล่อยให้เหตุการณ์ล่วงเลยไปจนกลายเป็นจราจลแล้วค่อยส่งนายจิรายุ ลงไปเหมือนจงใจให้เกิดความรุนแรงขึ้นตามแบบฉบับ และในที่สุดนายจิรายุก็ไม่กล้าไปพบประชาชนตามที่ประกาศไว้ ทั้งนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ก็ยิ่งทำให้ผู้ชุมนุมผิดหวังมากยิ่งขึ้น จนมีการเผาทำลายโรงงานแทนทาลั่มและบุกไปเผาโรงแรม


ภูเก็ตเมอร์ลิน ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงงานแห่งนี้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมีการปล่อยข่าวอีกว่านายจิรายุที่มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนรัฐบาลนั้น เป็นผู้สนับสนุนให้มีการสร้างโรงงานแทนทาลั่มและได้เดินทางมาพำนักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เปรมผู้ยิ่งใหญ่ในเวลานั้น ไม่ได้ดำเนินการใดๆในด้านคดีความ แต่กลับปล่อยให้เป็นคลื่นกระทบฝั่งอย่างมีเงื่อนงำ

การประท้วงและบุกเผาโรงงานแทนทาลั่มในครั้งนั้น มีผู้สันทัดกรณีวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

เพราะมีการปล่อยข่าวในเรื่องของมลภาวะร้ายแรงและจงใจให้ข่าวว่านายจิรายุมีส่วนสนับสนุนให้มีการก่อสร้างโรงงาน อันเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ แล้วข้อมูลในเรื่องของโรงงานที่มีถึง ๑๗ แห่งในประเทศสิงคโปร์ไม่ได้มีการนำมาอธิบาย อีกทั้งรัฐบาลจงใจที่จะไปรับฟังปัญหาด้วยความล่าช้า และที่สำคัญที่สุดหลัง
เหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว นายจิรายุได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ

กระทรวงอุตสาหกรรมเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฏาคม ๒๕๓๐ แล้วก็ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แถมด้วยตำแหน่งรองเลธาธิการสำนักพระราชวังอีกตำแหน่งในเวลาต่อมา นี่เป็นการให้ต่างตอบแทนที่คงไม่มีใครสามารถอธิบายได้ดีไปกว่าภูมิพลแน่นอน ผมเขียนมาถึงตรงนี้คงไม่ต้องบอกนะครับว่าใครเป็นผู้รับสินบนที่ถ่วงความเจริญของประเทศชาติ

(อ้อบริษัท ชิโน-ไทย ที่รับเหมาก่อสร้างโรงงานแทนทาลั่มที่ถูกเผาในเวลานั้น มีนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ร่างทรงนายเนวิน
ชิดชอบ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาด ไทยอยู่ในเวลานี้เป็นเจ้าของบริษัทครับ)


วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การล่มสลายของสถาบันฯ2

การล่มสลายของสถาบันฯ

ภายหลังที่ พล.อ.อาทิตย์ ได้ถูกหวย ๒ เด้งในปี ๒๕๒๔ พอข้ามปีคือ ปี พ.ศ.๒๕๒๕

พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอกก็ถูกหวยอีก ๒ เด้ง คือได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และในปีถัดไปคือ ปี ๒๕๒๖


พล.อ.อาทิตย์ก็ได้ถูกหวยอีกครั้งและเป็นสองเด้งอีกเช่นกัน โดยได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชการทหารสูงสุดควบผู้บัญชาการทหารบก พร้อมกับรับพระราชทานยศ พลเรือเอกและ พลอากาศเอก นี่คือตำนาน ๒ นายพล คือเปรมและอาทิตย์ ที่ได้รับสูตรยาอาหารเร่งยี่ห้อภูมิพลและสิริกิติ์

ด้วยวิธีการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งแบบตามใจฉันตามแบบฉบับภูมิพล บวกสิริกิติ์นี่แหละครับ นำความหายนะมาสู่กองทัพด้วยความไม่ตั้งใจ ดังนั้นท่านผู้อ่านก็จงอย่าได้แปลกใจว่าเหตุใดกองทัพจึงอ่อนแอและไม่พัฒนา แล้วก็อย่าได้สงสัยนะครับว่าทำไมกองทัพถึงได้มีความแตกแยกให้ได้เห็นอยู่เป็นประจำ

วิธีการตามใจฉันดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น พอนานเข้าก็เลยกลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดา

และพัฒนามาเป็นนิสัยที่เอาแต่ใจตัวเอง โดยที่ไม่มีใครกล้าขัดใจ และก็ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียง ๒ คน แค่ภูมิพลและสิริกิติ์เท่านั้น โรคนี้ยังได้แพร่ระบาดและติดต่อไปยังลูกหลานและบุคคลรับใช้ใกล้ชิดอีกด้วย ดังเช่นนายทหารบ้านนอกอย่างเปรมนี่เป็นตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดว่า เป็นบุคคลที่ใครก็ตามไม่อาจที่จะแตะต้องได้ แม้วิภาควิจารณ์ก็เป็นเรื่องต้องห้าม ทำอะไรก็ไม่ผิดเพราะตำแหน่งประธานองคมนตรีมาจากการโปรดเกล้าแต่งตั้งโดยกษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย จะลาออกก็ไม่ได้ ต้องเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยอีกเช่นกันในการที่จะปลดออก

การที่เอาผิดไม่ได้กับคนของภูมิพลดังที่กล่าวมาข้างต้น เปรมจึงได้กระทำทุกอย่างในฐานะร่างทรงกษัตริย์ที่ทุกหน่วยงานแห่งรัฐต้องยำเกรงและให้ความร่วมมือ แม้จะผิดกฏหมายหรือกฏระเบียบก็ตาม หรือแม้แต่องค์กรเอกชนก็ได้รับการคุ้มครองให้พ้นผิด ถ้าหากความผิดนั้นเป็นไปเพื่อความจงรักภักดี ดังเช่น กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นแกนนำเป็นต้น ดังนั้นจึงมีปรากฏการณ์ทางสังคมให้ได้เห็นในเรื่องความอยุติธรรม จนเป็นที่ขัดสายตาของคนทั้งประเทศครั้งแล้วครั้งเล่าแบบชนิดว่า กูจะทำอย่างนี้มึงจะทำไม อันเปรียบเสมือนเป็นการตบหน้าพี่น้องคนไทยทั้งแผ่นดิน

ข้าราชการไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามวิถีทางที่ควรจะเป็น กฏหมายไม่สามารถเอาผิดกับคนบางกลุ่มได้ ศาลสถิตยุติธรรมมีการตัดสินความตามใจ ฝ่ายผู้สนับสนุนเจ้า ปล่อยให้ผู้กระทำผิดกฏหมายร้ายแรงลอยนวลโดยไม่ถูกลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นการบุกยึดทำเนียบรัฐบาลก็ดี การบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ อันเป็นสนามบินนานาชาติที่เป็นการ

กระทำผิดกฏหมายสากลก็ดี หรือแม้แต่การบุกไปปิดล้อมตึกรัฐสภา

ซึ่งไม่ได้หวังผลเพียงขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาลเท่านั้น หากแต่ต้องการถึงขั้นจะเอาชีวิตนายสมชาย วงค์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ด้วยการปลุกระดมด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า
ฆ่ามัน ฆ่ามันเลยทีเดียว แต่ที่อัปยศและบัดซบสุดบรรยายนั้นก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบกลับต้องเป็นผู้ต้องหาฐานกระทำความชั่วร้ายแรง ส่วนนายสมชาย วงค์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีต้องหนีตายไต่กระไดลิงขึ้นเฮลิคอบเตอร์ ด้วยความทุลักทุเล กลับถูก ปปช ชี้มูลความผิดพร้อมกับพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในกรณีสลายการชุมนุม และที่บัดซบสุดบรรยายคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายเกินกว่า การบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรที่ถูกแจ้งข้อหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั้น กลับได้รับการยกระดับให้กลายเป็นผู้ก่อการดี

กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม พิพากษาความก็ไม่ต้องเป็นไปตามตัวบทแห่งกฏหมาย แต่เลือกใช้วิธีการตีความตามพจนานุกรม ดังนั้นการตัดสินชี้มูลผิดนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จนต้องออกจากตำแหน่งด้วยสาเหตุการออกอากาศในรายการชิมไปบ่นไป จึงเป็นที่โจษจันไปทั่วโลกถึงกระบวน การยุติธรรมของประเทศไทยให้คนไทยได้อายไปทั่วหน้า

ประเทศไทยไม่อาจที่จะพัฒนาได้ ทั้งๆที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดในแถบทวีปเอเซีย นั่นก็สืบเนื่องจากเรามีสถาบันกษัตริย์คอยเป็นเครื่องถ่วงความเจริญ ประเทศสิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆมีเนื้อที่ขนาดเท่ากับกรุงเทพมหานครของเราเท่านั้น แต่เขาสามารถขี่คอประเทศไทย พัฒนาประเทศของเขาจนร่ำรวย ทั้งๆ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติหรือแหล่งวัตถุดิบใดๆ และแม้กระทั่งน้ำจืดก็ไม่มีไว้ใช้สำหรับ

บริโภค ความร่ำรวยของประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ได้กลายเป็นประเทศผู้นำในด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยอาศัยวัตถุดิบและสินค้าเกษตร ตลอดจนให้สินบนกับผู้มีอำนาจของไทย โดยยินยอมให้เหยียบบ่าเพื่อปีนขึ้นไปเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในแถบทวีปเอเซีย เคย มีคำถามที่ว่ารัฐบาลไทยโง่บ้าง รับสินบนจากสิงคโปร์ บ้างในกรณีก่อสร้างสนามบินนานาชาติหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า สนามบินหนองงูเห่า ซึ่งโครงการที่ว่านึ้เกิดขึ้น เมื่อปี ๒๕๐๓

ในยุคของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยรัฐบาลได้ว่าจ้าง LITCHFIELD WHITING BOURIE AND ASSOCIATE (LWBA) มาวางผังเมืองกรุงเทพฯ และหลังจากที่ได้ทำการศึกษาแล้วก็ได้เสนอให้รัฐบาลไทยควรมีสนามบินพาณิชย์ที่แยกออกจากสนามบินทหารที่ดอนเมือง ครั้นในปี พ.ศ.๒๕๐๔ กระทรวงคมนาคม ภายใต้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ได้ทำการสำรวจพื้นที่ให้มีระยะห่างและทิศทางที่เหมาะสมกับการขึ้นลงของสนามบินดอนเมืองตามคำแนะนำของ LWBA โดยมีความเห็นชอบว่า บริเวณหนองงูเห่า ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีความเหมาะสมที่จะเป็นที่ตั้งในการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ และจากนั้นจนกระทั่งเปิดใช้งานวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ รวมเวลาเกือบ ๕๐ ปี

จึงสามารถสร้างเสร็จได้ในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เกือบ ๕๐ ปี ผมจะไม่นำเสนอในรายละเอียดของแต่ละรัฐบาลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการนี้ในส่วนไหน แต่จะขอนำเสนอว่ามีนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างสนามบินแห่งนี้ว่ามีใครบ้างดังต่อไปนี้

ปี พ.ศ. ๒๕๐๓-๒๕๐๔ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ปี พ.ศ.๒๕๐๖-๒๕๑๖ จอมพลถนอม กิตติขจร มีการจัดซื้อและเวณคืนที่ดินประมาณ ๒๐,๐๐๐ ไร่

ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์

ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

ปี พ.ศ.๒๕๓๓ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ

ปี พ.ศ.๒๕๓๔ นายอานันท์ ปันยารชุน

ปี พ.ศ.๒๕๓๕ นายชวน หลีกภัย

ปี พ.ศ. ๒๕๓๘-๒๕๓๙ นายบรรหาร ศิลปอาชา

ทุกรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีตามรายชื่อที่ปรากฏอยู่ข้างต้นนี้ ไม่มีรัฐบาลไหนที่สามารถหลุดพ้นได้จากคำครหา...


วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การล่มสลายของสถาบันฯ1

การล่มสลายของสถาบันฯ

ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครในแผ่นดินที่สามารถสร้างความเสื่อมถอยถึงขั้นล่มสลายให้สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ นอกเสียจากตัวกษัตริย์และราชวงค์เอง

ภูมิพลขึ้นครองบัลลังก์บนตำแหน่งกษัตริย์ ในขณะที่มีเหตุการณ์การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลด้วยพระแสงปืนอย่างมีเงื่อนงำ และเป็นที่เคลือบแคลงของคนทั้งแผ่นดินตราบจนทุกวันนี้ หลังเกิดเหตุภูมิพลได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดในเวลานั้น แม้เวลาจะผ่านพ้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่โจษจันและกังขาของคนไทยว่าเหตุใดผู้ต้องสงสัยนอกจากไม่ถูกดำเนินคดีแล้วยังสามารถขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามได้

จึงมีการเล่าลือกันมาโดยตลอดว่าอาจเป็นเพราะมารยาของผู้เป็นแม่และพี่สาวอันสุดแสนจะพราวเสน่ห์ในเวลานั้น ช่วยให้หลุดพ้นจากการเป็นผู้ต้องหาคดีลอบปลงพระชนม์ในหลวงอนันท์ฯ ซึ่งเป็นพี่ชายของตัวเอง แล้วก็ใช้เสน่ห์บวกเล่ห์ลิ้นเป็นใบเบิกทางจนภูมิพลสามารถหลุดพ้นและฝ่าอุปสรรค์ต่างๆ ที่มีอยู่ในเวลานั้นขึ้นครองบัลลังก์เป็นกษัตริย์ได้สำเร็จ


การขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ของภูมิพลนั้น มีชีวิตของผู้คนได้ถูกสังเวยอย่างน้อย ๓ คนนั่น


ก็คือนายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนีย์ และนายบุศย์ ปัทมศริน และไม่เพียงแค่นี้ บุคคลที่ล่วงรู้ความลับแห่งคดีความนี้หลายคนต้องประสพความทุกข์ยากจนไม่มีแผ่นดินอยู่ ดังเช่น ท่านปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป.พิบูลย์สงครามและ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังมีนายทหารใหญ่ที่ต้องได้รับผลกระทบจากการล่วงรู้ความลับนี้ จนส่งผลให้ชีวิตบั้นปลายมีอันจะต้องมัวหมองจนหมดสภาพความเป็นคนก็มีอยู่หลายคนเช่นกันอย่าง จอมพลถนอม กิติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร (สองจอมพลผู้เกรียงไกรต้องมีอันกลายเป็นทรราช) พล.อ.ยศ เทพหัสดินทร์ ณ.อยุธยา พล.อ.เสริม ณ.นคร พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นต้น และถ้าหากจะพูดถึงนายทหารที่ประสพชะตากรรมที่ไม่พึงประสงค์ในบั้นปลาย

ผมเห็นสมควรที่จะต้องกล่าวถึง ๒ นายพลที่มีอันต้องตายอย่างปริศนาอีก ๒ คน

นั่นก็คือ พล.อ.กฤษ สีวะรา และ พล.อ. อำนาจ ดำริกาญจน การกวาดล้างกลุ่มนายทหารที่เติบโตในยุคจอมพลถนอม โดยมีชีวิตของนักศึกษาปัญญาชนเป็นเครื่องสังเวยในกรณี ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ซึ่งผมเคยเสนอไปแล้วในบทความเรื่อง
ยุทธการเราพร้อมแล้ว) ภายหลังจากที่ยืมมือนิสิตนักศึกษาโค่นล้มอำนาจเผด็จการทหารจอมพลถนอมและจอมพลประภาส ในกรณี ๑๔ ตุลาคม ๑๖ เรียบร้อยแล้ว กษัตริย์ภูมิพลก็วางแผนกำราบกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ทำการเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยในส่วนภูมิภาคตามชนบทต่างๆด้วยวิธีการอันป่าเถื่อน เพราะถือว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องแสลงและเป็นอุปสรรค์ต่อระบอบเอกาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นใหญ่และกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว


ดังนั้นเหตุการณ์เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๑๙ จึงถือได้ว่าเป็นมหันตภัยอันโหดเหี้ยมอำมหิตที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของกษัตริย์ภูมิพล ภายใต้นโยบายขวาพิฆาตซ้าย และก่อนที่ผมจะนำเสนอในรายละเอียดของบทความชิ้นนี้ ผมสมควรที่จะต้องกล่าวถึงเส้นทางเดินขึ้นสู่อำนาจของเปรม จนกระทั่งมีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ชนิดแยกไม่ออกว่ามันมีที่มาอย่างไร

ภายหลังการโค่นล้มเผด็จการจอมพลถนอมลง ในปี ๒๕๑๖ เรียบร้อยโรงเรียนสวนจิตรแล้ว ภูมิพลก็หันมาเลือกสนับสนุนนายทหารพิเศษประจำกรมทหารมหาดเล็กที่ ๑ รักษาพระองค์ อดีตผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า ซึ่งเป็นนายทหารรับใช้ใกล้ชิดที่มีชื่อว่า พล.ต.เปรม ติณสูลานนท์ ไปดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ ๒ และอยู่ในตำแหน่งเพียงปีเดียวก็ขยับขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ ๒พร้อมครองยศพลโท อีก๒ ปีถัดมา คือปี พ.ศ.๒๕๑๙เปรมก็มีชื่อเข้าร่วมอยู่ในคณะรัฐประหารภายใต้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่มี พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะ เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลหม่อมราชวงค์เสนีย์ ปราโมช


(ม.ร.ว.เสนีย์ไม่ยินยอมใช้วิธีการรุนแรงปราบปรามนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)


ภายหลังการยึดอำนาจ เปรมได้รับการปูนบำเหน็จด้วยการขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก นั่งอยู่บนตำแหน่งนี้เพียงปีเดียว เปรมก็ทยานขึ้นไปอยู่บนส่วนหัวอันเป็นตำแหน่งหมายเลขหนึ่งในกองทัพบกคือ ผู้บัญชาการทหารบกในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ และเพียงแค่ปีเดียวคือ ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ เปรมก็นั่งควบตำแหน่งทางการเมืองบนเก้าอี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ยาวไปถึงปี ๒๕๒๙ เมื่อภูมิพลจัดสูตรอาหารเร่งให้เปรม จนกระทั่งสามารถทยานสู่ตำแหน่งสูงสุดของกองทัพคือ ผู้บัญชาการทหารบกควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว

เปรมก็เลือกใช้บริการของนายทหาร จปร.รุ่น ๗ เป็นฐานกำลังแห่งอำนาจ


ทั้งนี้ก็สืบเนื่องจากนายทหารรุ่นนี้มีบทบาทสูงยิ่งในการควบคุมกลไกของกองทัพบก โดยแยกย้ายกันดำรงตำแหน่งที่ควบคุมกำลังพลสำคัญในตำแหน่งผู้บังคับการกรมอยู่ถึง ๗๙ กรม ซึ่งนับได้ว่าเป็นกลุ่มนายทหารที่ทรงอิทธิพลสูงสุดในกองทัพ เปรมจึงสามารถใช้นายทหารรุ่นนี้กดดันรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จนต้องยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เปรมได้ขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแทนพร้อมกับควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระ

ทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ นี้เองที่นับได้ว่า เปรมได้บรรลุจุดสูงสุดของชีวิตที่สามารถดำรงตำ แหน่งหมายเลขหนึ่งบนเส้นทางการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตำแหน่งสูงสุดในกองทัพบนตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบผู้บัญชาการทหารบก


เมื่อเปรมสามารถทยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งอำนาจได้สำเร็จ


เปรมก็หันกลับมาสลายกลุ่มนาย ทหาร จปร ๗ ที่ให้การสนับสนุนเปรมด้วยความหวาดระแวง แล้วก็มาสร้างขุนพลคู่ใจคือ พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก ด้วยสูตรยาอาหารเร่งที่แรงกว่าสูตรที่ภูมิพลเคยให้ นั่นก็คือ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ โยกจากผู้บัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์มาดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ ๒ ครั้นพออาสาปราบกษฏเมษาฮาวายเมื่อวันที่ ๑-๓ เมษายน ๒๕๒๔ ก็ได้รับการปูนบำเน็จให้มาดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ ๑ พร้อมกับครอบยศพลโท และเพียงอีกไม่กี่เดือนต่อมาคือ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๔ ในปีเดียวกันนี้ พล.อ.อาทิตย์ก็ทยานขึ้นสู่ห้าเสือบนตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก


(เรียกว่าจากยศพลตรีขึ้นสู่ยศพลเอกใช้เวลาเพียงปีเดียว) ....

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จงรักภักดี3

จงรักภักดี

ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ผมจึงไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะให้ใครก็ตามบังอาจมายัดเยียดความเป็นพ่อเป็นแม่ให้กับผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมจะไม่มีวันดัดจริตเปล่งคำว่า จงรักภักดี" กับคนที่ผมไม่เคยชิดใกล้หรือเคยสร้างและมีบุญคุณตกค้างที่ผมจะต้องตอบแทนเป็นอันขาด ที่ผมพูดอย่างนี้คงจะมีหมารับใช้ออกมาเห่าหอนว่าผมไม่รู้คุณที่ได้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มพระบรมโพธิสัมภาร ผมก็เลยถือโอกาสอันดีนี้ประเทืองปัญญาให้เสียเลยว่า

กษัตริย์ต้องไม่มีบุญคุณกับใครก็ตามที่อยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกัน เพราะบนความเป็นจริง กษัตริย์ต้องเป็นหนี้บุญคุณประชาชน อันสืบเนื่องจากประชาชนเป็นผู้เลี้ยงดูกษัตริย์และราชวงค์ให้อยู่ดีมีสุขได้ ก็ด้วยเงินภาษีที่มาจากประชาชน นอกจากนี้แล้วผมยังมีความคิดที่จะเสนอสำหรับผู้ที่เป็นกษัตริย์และราชวงค์ให้ได้สำเหนียกอีกว่า



-
กษัตริย์ต้องสำนึกอยู่เสมอว่า ตัวเองไม่ใช่เทวดาหรือผู้วิเศษที่สามารถเหาะเหินและเดินอากาศได้ กษัตริย์ถือกำเนิดขึ้นได้ก็ด้วยการสืบเผ่าพันธ์ดังเช่นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา(ความจริงกษัตริย์หืนกว่าคนธรรมดาหลายเท่า) และมีที่มาจากการแก่งแย่งช่วงชิง ทรยศหักหลัง ฆ่าฟันกันมาทุกยุคสมัย มีลุงฆ่าหลาน พี่ฆ่าน้องและน้องฆ่าพี่ สลับกันอยู่อย่างนี้ตลอดมา ใช่ว่าจะสูงส่งอย่างที่กล่าวอ้าง

-
กษัตริย์ต้อง ไม่ไปเที่ยวพูดบอกใบ้ ที่เรียกซะสุดหรูว่า พระราชทานพระบรมราโชวาท ให้กับใครหรือองค์กรใดก็ตามให้เป็นที่สับสน จนกลายเป็นประเด็นแห่งความขัดแย้งแตกแยกและเกิดการแบ่งขั้วอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในเวลานี้

-
กษัตริย์ต้องไม่มีอำนาจอย่างเด็ดขาด ตราบเท่าที่มีรัฐบาลที่มาจากประชาชน และต้องไม่ตามน้ำใช้สิทธิ์อันจอมปลอมที่พวกหมารับใช้ร่วมด้วยช่วยกันแย่งชิงไปจากรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย และสมประโยชน์กันด้วยการออกกฏหมายนิรโทษกรรม เพื่อให้พวกหมารับใช้พ้นผิดในข้อหากบฏ ในเวลาเดียวกันพวกหมารับใช้ ก็อาศัยกฏหมายหมิ่นฯกดหัวประชาชนทั้งประเทศเพื่อให้กษัตริย์สามารถอยู่บนตำแหน่งได้อย่างยาวนานชนิดถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน โดยไม่มีใครกล้าต่อต้านหรือคัดค้าน

-
กษัตริย์ต้องไม่ไปยุ่มย่ามและแทรกแซงในองค์กรต่างๆและหน่วยงานแห่งรัฐ เพราะหน่วยงานแห่งรัฐทุกแห่งมีรัฐบาลเป็นผู้กำกับดูแล มีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆที่มีอำนาจรับผิดชอบ ตามที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนผู้ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ

-
กษัตริย์ต้องไม่มีอำนาจลงนามแต่งตั้งข้าราชการทุกกรมกองไม่ว่าตำแหน่งใดๆทั้งสิ้น เพราะกษัตริย์ไม่ได้เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกใครไปดำรงตำแหน่งใดๆ อำนาจการแต่งตั้งข้าราชการทุกกรมกองจะต้องเป็นอำนาจของรัฐบาลซึ่งมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆเป็นผู้พิจารณาเลือกบุคคลที่มีความสามารถและเป็นที่ไว้วางใจมาดำรงตำแหน่ง ไม่ใช่ธุระของกษัตริย์อย่างเด็ดขาด

-
กษัตริย์ต้องไม่ไปคิดค้นโครงการใดๆมาแข่งกับโครงการของรัฐบาลเพราะโครง การแห่งรัฐฯทุกโครงการมีที่มาจากนโยบายของพรรคฯที่เคยเสนอต่อประชาชน จนได้รับความเห็นชอบจากประชาชนและประชาชนมอบความไว้วางใจเลือกเข้ามาบริหารประเทศ

-
โครงการที่กษัตริย์และพวกหมารับใช้คิดค้นขึ้นหลายโครงการเป็นโครงการผีดิบที่ไปเที่ยวสูบเลือดจากคนทั้งแผ่นดิน เห็นได้จากในแต่ละวันจะมีผู้คนเข้าแถวทูลเกล้าถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย โครงการพระราชดำริหลายโครงการส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยจนกลายเป็นเรื่องเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลและประชาชน อย่างเช่นโครงการสร้างเขื่อนต่างๆ ซึ่งทุกครั้งที่เกิดปัญหากษัตริย์ภูมิพลและพวกหมารับใช้ก็ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบเลย

-
กษัตริย์ต้องรับผิดชอบพวกหมารับใช้ที่เลี้ยงไว้ จะปล่อยให้ไปเห่าหอนไล่กัดผู้ คนโดยไม่ต้องรับผิดชอบไม่ได้ และจะปฏิเสธไม่รู้เห็นก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าตำแหน่งประธานองคมนตรีนั้นเป็นตำแหน่งที่กษัตริย์เป็นผู้คัดเลือกขึ้นมาด้วยตัวเองตามอัธยาศัย การปล่อยให้เปรมไปแทรกแซงตามองค์กรต่างๆและสนับสนุนให้มีการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาชน จนประเทศชาติบอบช้ำและสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องทั่วประเทศทุกสาขาอาชีพ จนมีการรวมตัวขับไล่เปรมหลายครั้งหลายหนในรอบสามปีที่ผ่านมา กษัตริย์ภูมิพลไม่เพียงแต่จะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้ว ยังมีการเพิ่มเงินเดือนให้คณะองคมนตรีและเปลี่ยนรถประจำตำแหน่งให้สุดหรูยิ่งขึ้นเป็นการตอบแทน เสมือนหนึ่งเป็นการตบหน้าคนไทยทั้งแผ่นดิน

-กษัตริย์และราชวงค์ต้องอยู่ภายใต้กฏหมายและสามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องยกเลิกกฏหมายหมิ่นฯ เพื่อไม่ให้ถูกนำไปทำลายล้างบุคคลที่มีความคิดเห็นต่าง แล้วที่สำคัญผู้ที่ถูกตัดสินจองจำอันเกิดจากคดีหมิ่นฯต้องได้รับการปล่อยตัวโดยเร็ว


๑. อาคม ซิดนี่ย์ มีสมาชิกอยู่ทั่วไปทั้งในและนอกประเทศ ไม่เคยมีการแต่งตั้งตัวแทน

๒.บทความอาคม ซิดนี่ย์ มีไว้สำหรับเผยแพร่โดยไม่คิดมูลค่า และไม่มีการจัดจำหน่าย

๓. หากมีการแอบอ้างนำชื่ออาคม ซิดนี่ย์ไปทำโฆษณาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของใครบางคน ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด

๔. อาคม ซิดนี่ย์ ไม่ขอรับบริจาค แต่ขอความร่วมมือมายังพี่น้องทุกคน จงช่วยกันส่งต่อข้อมูลที่ผมนำเสนอให้มากที่สุดเพื่อชัยชนะของพี่น้องชาวไทยทุกคน

๕. ขอให้พี่น้องและเพื่อนร่วมชาติทุกคนอย่าไปยอมรับกฏหมายที่โจรเขียนขึ้นเองโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนผู้ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ และต้องไม่ให้ความสำคัญกับสถาบันอันจอมปลอมที่มีไว้สำหรับฟอกขาวให้กับผู้ทำผิดกฏหมายอย่างเช่นสถาบันพระมหากษัตริย์ (ข้อหาผู้ก่อการร้ายกลายเป็นผู้ก่อการดีได้ ถ้าหากใครยังให้ความสำคัญกับสถาบันแห่งนี้ ถือได้ว่าไม่มีศักดิ์ความเป็นคนหลงเหลืออยู่อีกต่อไป)


วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๒

โดย อาคม ซิดนี่ย์

arkomsydney@yahoo.com.au
Copyright © 2009 arkomsydney
ติดตามบทความย้อนหลังและรับฟังรายการ ชกหมัดตรงได้ที่ www.arkomsydney.com

อ่านแล้วกรุณาส่งต่อ

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จงรักภักดี2

จงรักภักดี


กระแสพระราชดำรัสเมื่อวันที่ ๒๗-๕-๒๕๕๐

ข้าพเจ้าเองก็ในใจมีคำตัดสินอยู่ แต่บอกท่านไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิที่จะบอก ท่านเองก็ไม่มีสิทธิ แต่ท่านต้องมีการตัดสินในใจ ว่าที่ศาลรัฐธรรมนูญเขาจะตัดสินถูกหรือไม่ ตรงนี้อยู่ในใจ แต่เขาจะตัดสินอย่างไรเดือดร้อนทั้งนั้น เสียหายทั้งนั้น คำตัดสินของเขาเดือดร้อน เสียหายสำหรับท่านเองทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็เดือดร้อน ไม่มีสิทธิที่จะมาบอกว่าเขาทำถูก หรือไม่ถูก แต่รู้ในใจว่าเขาจะตัดสินอย่างไรก็ตาม รู้ในใจว่าเขาทำถูกหรือผิด ส่วนใหญ่ก็นึกว่าเขาทำผิดแน่

แม้กระนั้นก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ออกมาให้ข้อมูลว่าประมุขที่เป็นเจ้าของหมานั้นไม่รู้เรื่อง ถึงกับมีการปั่นข่าวไปปรากฏอยู่ตามเว็บต่างๆว่า มีคนเห็นในหลวงแอบร้องไห้เพราะเสียใจที่สังคมเกิดความแตกแยก บ้างก็โยนไปเป็นความผิดของ ซูสีไทเฮา ผู้เมียตามที่เรียกขานกันอยู่ในเวลานั้น ข้อซุ๊บซิ๊บนินทามาปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเรื่องที่ผู้คนสงสัยทั้งแผ่นดินในพฤติกรรม ราชสีห์คบโค (คนที่มียศศักดิ์ลดตัวลงไปคบคนพาล) นั้นเป็นความจริงนั่นก็คือ

สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงทอดผ้าไตร ในพิธีพระราชทานเพลิงศพ น้องโบว์-อังคณา ระดับปัญญาวุฒิพร้อมทรงโปรดฯ ให้ครอบครัวน้องโบว์เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ก่อนเสด็จฯกลับ ทรงมีพระราชปฏิสันถาร กับ สนธิ ลิ้มทองกุลด้วยสีพระพักตร์ยิ้ม นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ บิดา นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ น้องโบว์ เปิดเผยว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม

ราชินีนาถ ทรงรับสั่งและชม ว่า
ลูกสาวเป็นเด็กดีช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งตนได้กราบทูลฯกลับไปว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ มา นอกจากนี้ท่านยังตรัสอีกว่า "เป็นห่วงพันธมิตรทุกคน ไว้จะฝากดอกไม้ไปเยี่ยมพันธมิตร"นายจินดา กล่าวอีกว่า พระองค์ท่านยังทรงรับสั่งว่า ขอให้กำลังใจกับครอบครัวสู้ต่อไป และพระบาทสม เด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับทราบแล้ว และเงินที่เป็นค่ารักษา ในหลวงเป็นผู้พระ ราชทานให้ ขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัว

(กลับไปอ่านบทความเรื่อง หุ่นกระบอกการเมืองตอนที่ ๓)

ภายหลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์ผ่านพ้นไป ก็มีสารพัดฉายาที่ผู้คนถวายให้ ด้วยความจงรักภักดี จากระหัส ๙๐๒, เจ้หงษ์ หรือ น้านี ที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลเรียกหาด้วยความสนิทสนม มาเป็นชะนี, อีอ้วน, ปลาวาฬและนางผีเสื้อสมุทรปรากฏตามเว็บต่างๆให้เสื่อมเสียเกียรติยศที่อุตส่าห์สร้างภาพและครอบงำคนทั้งแผ่นดินด้วยความ ยากลำบากมายาวนานมีอันต้องป่นปี้ ไม่เหลือให้ผู้คนได้เคารพและนับถืออีกต่อไป และแทนที่จะจดจำปฏิกริยาของคนทั้งประเทศว่าพวกเขามีความรู้สึกอย่างไร แต่กลับย่ามใจที่วันเกิดในปีนี้ตามข่าวแจ้งว่า

เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชวโรกาสให้ นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือ ตี๋ ชิงชัย ศิลปินผู้สูญเสียมือขวาจากเหตุการณ์ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ พร้อมภรรยาเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่นายชิงชัยวาดด้วยมือซ้าย ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารว่า เก่งมาก

การที่ราชินีสิริกิติ์อนุญาติให้นายตี๋ ชิงชัยและเมียเข้าเฝ้าฯ ทั้งๆที่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นผู้กุมระเบิดปิงปองเข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนฯที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ไปปิดล้อมตึกรัฐสภาจนมือข้างขวาขาด ผมอยากแจ้งเตือนพี่น้องชาวไทยทุกคนว่าอย่าได้มองข้าม เป็นอันขาด เพราะนี่เป็นการส่งสัญญาณอย่างมีนัยว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน พฤติกรรมของสถาบันฯที่แสดงชัดเจนว่าเป็นผู้สนับสนุนการป่วนเมือง ไม่ได้มีเป้าหมายหยุดอยู่เพียงแค่ทำลายคุณทักษิณให้พ้นเส้นทางการเมืองเท่านั้น หากแต่ต้องการถึงขั้นล้มล้างระบอบ

ประชาธิปไตย เพื่อสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังที่ พล.ต.อ.วิสิษฐ เดชกุญ ชร ที่ได้ชื่อว่ามีความจงรักภักดีและเป็นที่ไว้วางใจอย่างที่สุด กล้าออกมาประกาศว่าเวลานี้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย ด้วยเหตุผลที่ว่า ประเทศไทยเป็นราชอา ณาจักร ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้เป็นที่เข้าใจว่ากษัตริย์มีอำนาจเหนือรัฐและคนทั้งปวงในประเทศ

(ขอให้ท่านผู้อ่านจับตาดูรัฐบาลที่จะผ่านช่องทางพิเศษในอนาคตอันใกล้นี้)

ประเทศไทยต้อง ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เท่านั้น ไม่ใช่ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข อย่างที่หมารับใช้อย่างนายมีชัย ฤชุพันธุ์แต่งคำขึ้นมาเพื่อประจบเอาใจและพวกหมารับใช้ทั้งหลายร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุนและใช้กฏหมายหมิ่นฯบังคับคนทั้งประเทศให้ต้องยอมรับ(เพราะไม่สามารถวิจารณ์) กษัตริย์ภูมิพลไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นประมุขของประเทศไทยอย่างเด็ดขาด(เพราะคุณถือสัญชาติอเมริกัน และรับใช้ประเทศอเมริกามาโดยตลอด) ซึ่งในความเป็นจริงแค่สถาบันครอบครัว กษัตริย์ภูมิพลก็ถือได้ว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะไม่สามารถปกครองลูกเมียให้อยู่กับร่องกับรอยได้อย่างครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเสียด้วยซ้ำ กษัตริย์ภูมิพลจึงไม่สามารถเป็นได้แม้กระทั่งหัวหน้าครอบครัวที่ดี แต่ดันให้พวกหมารับใช้ยัดเยียดให้เป็นพ่อของคนทั้งแผ่นดินที่เรียกว่า

“พ่อแห่งแผ่นดิน” และ “แม่แห่งแผ่นดิน” สำหรับเมียของตัวเอง

ผมเกิดมาก็มีเพียงพ่อเดียวและแม่เดียวที่เลี้ยงกล่อมผมมาจนเติบใหญ่ที่ไม่เคยสร้างความ เดือดร้อนให้กับผู้ใดทั้งสิ้น ตั้งแต่ผมจำความได้ผมก็มีเพื่อนบ้านที่วิ่งเล่นและเติบโตมาด้วยกันจนถึงวัยอันควร พ่อแม่ผมก็ส่งเสริมให้ผมได้เล่าเรียน ผมก็เลยได้เพื่อนนักเรียนมาเป็นเพื่อนอีกจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งผมจบการศึกษาและสมัครเข้าทำงานผมก็มีเพื่อนร่วมงาน เพื่อนทั้งสามกลุ่มที่กล่าวมาก็ยังคบค้าสมาคมอยู่แม้จนกระทั่งทุกวันนี้ โดยไม่มีปัญหาข้อขัดแย้ง นี่ย่อมแสดงถึงความเป็นพ่อเป็นแม่ของผมนั้น ท่านเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยให้ผมเป็นคนดีมาตลอดทุกช่วงแห่งชีวิตของผม พ่อแม่ของผมไม่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปหาเรื่องตักตวง เอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พ่อแม่ของผมจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลากับการสร้างภาพเพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้กับตัวเอง

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ต้องเสียเวลาไปเลี้ยงดูพวกหมารับใช้ให้ยุ่งยาก เพราะพ่อแม่ผมไม่มีศัตรู ท่านทั้งสองจึงมีเวลาเพียงพออย่างเหลือเฟือที่จะมาดูแลลูกๆทุกคนอย่างใกล้ชิดและอบอุ่น